• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซด์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

ผู้ที่ไปถึงเป้าหมาย เป็นเจ้าคนนายคนชอบคิดอย่างงี้

Started by Panitsupa, April 05, 2023, 06:03:09 PM

Previous topic - Next topic

Panitsupa

ในตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน หลายท่านต่างเชื่อเสมอว่าหากได้ตั้งอกตั้งใจเรียน สอบติดภาควิชาที่ใช่

ยิ่งได้โอกาสได้งานที่ดี ค่าจ้างรายเดือนที่ดี รวมทั้งยิ่งเป็นอาชีพที่คนไหนก็รู้จักเช่น ข้าราชการ, วิศวกร


นักธุรกิจยิ่งน่าภาคภูมิไปใหญ่ เพราะว่านอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้ ส ม น้ำ ส ม เ นื้ อ มีเป็นจำนวนมากพอที่จะอุดหนุน


ครอบครัวได้ มีผลประโยชน์รองรับให้สุขยังเป็นอาชีพที่ถือว่า "มีหน้ามีตา" ผู้ใดกันก็ต้อนรับกันหมด

แต่ในโลกของความจริงแล้ว อาชีพที่ "มีหน้ามีตา" ในสังคม ไม่ได้เหมาะสมกับทุกคนเสมอไป

รวมทั้งในแต่ละอาชีพ เขาก็มีการกำหนดอัตรารับสมัครแต่ละปีที่ค่อนข้างจำกัดน่ะสิ !

"แล้วจะเรียนไปเพราะเหตุไร ถ้าสุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ตรงสาย/ งานที่น้อยคนจะรู้จัก/ เงินเดือนที่มิได้มากไม่น้อยเลยทีเดียวอะไร ?"

ปริศนานี้จะได้คำตอบที่ เ ค รี ย ด มากมายเลย เพราะมันเต็มไปด้วยความคาดหวังที่มีความคิดว่า

"พวกเรามีทางเลือกอยู่ไม่กี่อย่างในชีวิต" แม้กระนั้นหากทดลองกลายเป็นความนึกคิด "ฉันทำงานอะไรก็ได้


ไม่ว่าจะตรงสายหรือไม่ก็ตาม" มันอาจดูประโยคขี้แพ้ในสายตาบางคน


แต่ว่าหากคิดๆดูแล้ว มันได้การสบายใจ มากกว่าการตั้งปัญหาแบบแรกเพราะว่าเรื่องจริงของชีวิตเป็น

1. มนุษย์ทุกคนมีความเข้าใจในตนเอง "แตกต่างกัน" กันไปเราไม่มีความจำเป็นต้องเก่งเหมือนกันหมด

2. ในรั้วโรงเรียน- ม ห า วิ ท ย า ลั ยต่อให้เราได้เรียนกับคุณครูที่เก่งขนาดไหน

ขอบเขตความรู้มันก็เป็นเพียงวิชาความรู้ในรั้วแค่นั้นโลกของวัยผู้ใหญ่ที่โตขึ้น เรายังจำต้องรู้เห็นอีกมากมาย

ศึกษากันอีก ย า ว ลองผิดลองถูกกันอีกมากโดยเหตุนั้น จะมา ฟั น ธ ง ว่าเรียนมาสายวิทย์

จำเป็นต้องดำเนินงานสายวิทย์ เรียนสายภาษาจะต้องทำงานสายภาษา มันก็ผิดเสมอ

3. มันคือเรื่องปกติที่มนุษย์เราควรต้องวิ่งตามหาสิ่งที่ "ใช่"

ค่อยๆทำความเข้าใจ เบาๆปรับพฤติกรรมไป สิ่งที่พวกเรากำลังสนุกปัจจุบันนี้ อาจจะยังไม่ใช่ที่สุด

สิ่งที่เราเก่งตอนนี้ ในในอนาคต มันอาจเป็นเพียงแต่ความทรงจำ

เพราะว่าอาจมีหลายเหตุให้คิดมากขึ้น ได้แก่ จึงควรพับโครงการศึกษาต่อเอาไว้

เพราะเงินไม่พอจะต้องทำงานหาเงินก่อน แล้วค่อยไปเรียนศิลป์ที่พวกเราชอบ ...

พวกเราจำเป็นต้องมองจังหวะของชีวิตด้วย (เหตุจำเป็นของชีวิตแต่ละช่วง


4. สิ่งที่เราเรียนมาเป็นสิบเป็นร้อยกว่าวิชา มันเป็น "การหลอมหลอม" หลายวิชามิได้

สอนเราทางตรง แม้กระนั้นให้เราเบาๆซับจุดเด่นแม้กระนั้นอย่างไปเอง เป็นต้นว่า ฝึกฝนความทรหดอดทน, ฝึกฝนความละเอียดอ่อน,

ฝึกความชำนาญการเข้าสังคมในคราวหนึ่งที่เรามองไม่เห็นคุณประโยชน์ว่าจะใช้อะไรได้จริง เพียงพอโตขึ้นอีกหน่อย

มันก็จะต้องมีบ้างล่ะที่เรานึกอะไรขึ้นมาจนกระทั่งจำต้องไปหา อ่ า น ปัดฝุ่นตำราเรียนอีกครั้ง

ทุกวิชาความรู้ที่เราได้รับ ไม่เคยเสียเปล่า แค่พวกเรามองไม่เห็นค่ามันเอง ลองนึกถึงให้ดีสิ !

5. มนุษย์เราจะต้องมีโอกาสให้กับชีวิตไว้หลายด้าน หรือ "มีแผนสำรอง"

เพื่อไม่เป็นการปิ ด กั้ นตัวเองจนถึงเหลือเกิน เช่น หากวุฒิที่เราเรียนมามันหางาน ย า ก จะยอมรึเปล่าที่เอาวุฒิต่ำยิ่งกว่านี้หางานไปก่อน?

ถ้าเรามิได้อาชีพนี้ พวกเรายอมได้รึเปล่าที่จะทำอาชีพอื่นไปพลางๆก่อน?

ความฝันสิ่งที่ใช่ มันไม่สมควรเป็นสิ่งที่ได้ดังหัวใจในทันทีทันใดมันคือเรื่องปกติมากๆที่ต้องแลกกับความเมื่อยล้า

ความ พ ย า ย า ม หลายเท่าตัว ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะพบว่าเพราะเหตุใด ห ม อ

บางบุคคลถึงเขียนเพลงได้?

ทำไมบางบุคคลเรียนวิชาชีพแม้กระนั้นมาเป็นศิลปิน?

ทำไมบางบุคคลเรียนไม่จบแต่ว่าประสบความสำเร็จ?

ถ้าหากยังไม่เข้าในข้อนี้ ทดลองย้อนกลับไป อ่ า น ข้อ 4 อีกครั้งขึ้นชื่อว่า "ความรู้" พวกเราได้รับมา

ถึงจะไม่ใช้ในทันทีก็ไม่สมควรเสียดาย ขึ้นชื่อว่า "ความฝัน" ถึงจะยังไม่ใช่ในวันนี้

ใช่ว่าวันหน้าจะไม่มีทางเป็นไปได้ มันอยู่ที่ตัวเราล้วนๆว่า... "รู้ตัวดีหรือไม่ว่าทำอะไรอยู่?" และ

"พร้อมจะยืดหยุ่นกับทุกเหตุการณ์ชีวิตรึเปล่า?"

อย่ าลืมว่า...โลกพวกเรากลม รวมทั้งมีหลายมิติ ใช่ว่าจึงควรมองเพียงด้านเดียว
ทำงานไม่ตรงสาย
ขอบคุณบทความจาก https://freelydays.com/13507/